สมองแห่งความสำเร็จ
คนส่วนใหญ่อาจจะไม่สามารถหรือกล้าหาญที่คิดให้ใหญ่เกินตัวได้
และนี่คือคนส่วนใหญ่ที่ผมได้ยินเมื่อเขาได้เรียนจบหรือเริ่มทำงาน
คำพูดคือ ฉันหวังว่าฉันจะมีงานดีๆทำสักงานนึงได้นะ
แค่งานดีๆ….แค่นี้เองเหรอแค่คิดว่าหางานดีๆเองเหรอไม่ใช่หางานที่สุดยอดได้เลยเหรอแค่งานดีๆก็พอละและนั่นก็คือเป้าหมายที่ใหญที่สุดในชีวิตของเขา คือแค่หางานดีๆทำ
แต่ผมก็มีเพื่อนบางคนที่พูดว่า ฉันจะทำธุรกิจและฉันจะกลายเป็นเศรษฐีภายในอายุ30-40
แล้วเขาก็กำลังเดินไปตามความฝันของเขาแล้วด้วย และนี่คือปัญหา
คนส่วนใหญ่ไมายอมที่จะคิดให้ใหญ่ เพราะว่าการคิดใหญ่คือก้าวแรกที่สำคัญ เพราะเรารู้ว่าต้องมีอะไรอีกหลายอย่างืที่เราต้องทำ เราถึงจะประสพความสำเร็จ มิเช่นนั้นก็จะเข้าข่าย. ฝันกลางวัน แต่ถ้าเรายังไม่สามารถทำ step แรกได้ มันก็จะไม่มีเลยแม้แต่ความหวัง ซึ่ฝมันก็เหมือนตั้งเป้าไว้ที่ 100 เมตรในทุกๆครั้งที่คุณออกวิ่ง และนั่นจะไม่สามารถทำให้คุณเป็นนักวิ่งมาราทอนได้อย่างแน่นอน ถ้า100เมตรคือสิ่งที่คุณตั้งเป้าหมายเอาไว้ และนั่นทำให้มันมีอีกหลายอย่างที่คุณต้องทำ คุณต้องตั้งใจ คุณต้องลงมือจริงจัง คุณต้องศึกษาเรียนรู้ คุณต้องลองผิดลองถูก คุณต้องเผชิญหน้ากับความกลัว ความล้มเหลว ความผิดหวัง และทั้งหมดนี้จะไม่เกิดผลเลยถ้าสิ่งที่คุณเล็งไว้คือแค่ 100 ข้างหน้าของคุณเท่านั้น
สมองแห่งความสำเร็จ
หลังจากที่คุณคิดใหญ่ได้แล้ว
1คุณต้องให้ความสำคัญกับตัวคุณเอง
2 คุณต้องเชื่อในตัวเอง
และนี่คือความน้ำเน่าของมัน คุณไม่ต้องเชื่อผม แต่ขอให้คุณเชื่อคนที่ประสพความสำเร็จทั้งหลายเขาต้องผ่านสิ่งต่างๆเหล่านี้และการคิดแบบนี้แน่นอน แต่คนส่วนใหญ่ยังไม่สามารถเชื่อได้เลยว่าเขาสามารถสร้างเงินเป็นจำนวนหลายๆล้านได้ เช่น ผู้ชายที่คิดกับตัวเองว่าฉันไม่คู่ควรกับผู้หญิงคนนั้นหรอก และสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผู้ชายคนนั้นได้ติดป้ายราคาที่แสนจะราคาถูกไว้ที่กลางหลังของผู้ชายคนนั้น และผู้ชายคนนั้นก็ไม่สามารถประเมินคุณค่าของผู้ชายคนนั้นสูงไปได้มากกว่าสิ่งที่คุณได้แสดงคุณค่าของตัวเอง ถ้าคุณไม่เครพและเชื่อมั่นในตัวคุณเองแล้ว คุณจะคาดหวังให้ใครมาเชื่อมั่นในตัวคุณ
ถ้าคนเราไปสมัครงานแต่เรากลับคิดว่ามีคนที่ดีกว่าและเก่งกว่าไปสมัครงานด้วยแล้วคุณจะไปสมัครงานทำไมตั้งแต่แรก
เปรียบเทียบถ้ามีผุ้หญิงสักคน และผู้ชายคนนั้นคิดว่าตัวเองไม่มีค่าพอสำหรับสำหรับผู้หญิงที่เขาชอบ แล้วผู้หญิงคนนั้นก็สามารถคิดได้ว่าผู้ชายคนนั้นก็ไม่มีค่าพอสำหรับเธอเช่นกัน
ดังนั้นจะไม่มีใครให้ความสำคัญในตัวคุณถ้าคุณไม่เชื่อมั่นและศัทธาในตัวเองก่อน
มีคำนึงที่ผมคิดออกว่า คนที่คิดว่าทำได้กับคนที่คิดว่าทำไม่ได้ถูกทั้งคู่ และสิ่งที่ขัดขวางความสำเร็จคือ ข้ออ้าง
ส่วนใหญ่สิ่งที่อ้างคือ ฉันแก่เกินไปที่จะเรียนรู้เื่องนี้
นี่ไม่ใช่ความถนัดของฉัน
ฉันเด็กเกินที่จะทำอะไรต่างๆนาๆ
ถ้าสุขภาพฉันแข็งแรงกว่านี้ก็จะดี
ถ้าฉันมีเงินมากกว่านี้
ฉันยังเรียนรู้ไม่เพียงพอเลย ฉันยังต้องเรียนรู้มากกว่านี้อีก
ถ้าฉันมีเวลามากกว่านี้
เพราะว่าฉันมีลูกฉันเลยไม่ว่าง
ซึ่งคนเหล่านี้กำลังใช้ข้องอ้างเหล่านี้เป็นโล่ที่ป้องกันระหว่างตัวเขากับเป้าหมาย
งั้นเราลองมาดูคนที่ประสบความสำเร็จกัน
ก็จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าคนเหล่านี้ล้มได้ไม่นาน ทำไมพวกเขาถึงล้มได้ไม่นาน เพราะพวกเขาไม่หาข้ออ้างไงละ
ถ้าเราเอาจำนวนเงิน ที่มีทั้งหมดในประเทศนี้ มาแบ่งหารให้เท่าๆกัน คุณเชื่อหรือไม่ว่า คนที่เป็นคนรวย หรือคนที่ประสบความสำเร็จ คนเหล่านั้น จะกลับมารวย และประสบความสำเร็จอีกครั้ง
ดังนั้น
สมองแห่งความสำเร็จ
ถ้า มาร์คซักเกอร์เบอร์ สามารถก่อตั้งเฟซบุ๊กได้ ตอนอายุ 20 ปี แล้วเราจะอ้างอะไร
ถ้า เลย์ คร๊อก สามารถก่อตั้งแมคโดนัลด์ได้ ตอนอายุ 52 ปี ในขณะที่เค้า เป็นโรคไขข้อ และเบาหวาน แล้วเราจะอ้างอะไร
สรุปให้ง่ายก็คือ
คนเรามักจะไม่ยอมรับ ผิดชอบ ต่อสถานการณ์ ความเป็นอยู่ของตัวเอง ณ ตอนนี้ และปรับปรุงมัน
คุณคงเคยได้ยินว่า สิ่งที่เราคิดจะกลายเป็นสิ่งที่เราทำ ดังนั้น จะมีคนพูดว่า ให้คิดบวกให้มากๆ เพราะถ้าคุณคิดลบ เข้ามาและคลังสมองของคุณ ความล้มเหลว ความเกลียด ความโกรธ ความอิจฉา ความริษยา ความเอาเปรียบ การดูถูก การถากถาง การจับผิด การอวดดี มันก็เปรียบเสมือนกับ การเอาเม็ดทรายเป็นเทใส่ในสมองของคุณ แล้วในไม่ช้ามันก็จะพังทลายลง
แต่ในทางกลับกัน ถ้าคุณคิดว่ามันเป็นไปได้ ฉันทำได้ ฉันสามารถเป็นเจ้าของสิ่งสิ่งนั้นได้ สมองของคุณ จะหาหนทาง และทำทุกวิถีทาง ที่ทำให้มันเกิดขึ้นได้
แต่ถ้าคุณไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าคุณสามารถมีบ้านหลังใหญ่ได้ ไม่เชื่อหรอกว่าคุณ มีเงินหลักสิบล้านได้ สมองของคุณ ก็จะหาข้ออ้าง ที่บอกตัวเองว่ามันคือเหตุผล ที่ทำให้คุณไม่สามารถมีสิ่งที่ต้องการได้ ขอให้จำไว้นะครับ สิ่งที่เราคิดจะกลายไปสิ่งที่เราทำ
สิ่งที่ขัดขวาง ที่ไม่สามารถทำให้คนเราคิดให้ใหญ่ขึ้นได้นั่นก็คือ ความกลัว เพราะว่าหมอไม่สามารถรักษาความกลัวได้ แต่รู้ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่รักษาความกลัวได้ นั่นคือการ ลงมือทำ
ดังนั้น การลงมือทำ สามารถสลายความกลัวได้
ผมยกตัวอย่างเช่นหน่วยรบพิเศษ ใน 1 บททดสอบของเขา ก็คือการกระโดดน้ำลงมาจากที่สูง ในขณะที่พวกเขา ปีนเขาขึ้นไป และเขาได้มองลงมาข้างล่าง ในสมองของเขา จะคิดว่ามันน่ากลัวขนาดไหน ก็เพราะพวกเขาปีนไปถึงยอด และในขณะที่พวกเขากำลังหวาดกลัว ครูฝึก ก็ได้ผลักพวกเขา ตกลงมาจากหน้าผาสู่ผิวน้ำ และพอพวกเขาตกลงไปในน้ำ พวกเขาก็จะคิดว่า ฉันทำได้ เมื่อเขาสามารถโดดครั้งที่ 1 ได้ เค้าก็สามารถโดดครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ครั้งที่ 4 ได้ต่อๆไป
หลังจากนั้นความกลัวของเขาจะหายไปโดยสิ้นเชิง แต่ว่าจะต้องกลายเป็นความเชี่ยวชาญ ความสามารถ ให้กับตัวเองยิ่งยิ่งขึ้นไป
ถ้าคุณคิดแต่มุมลบในเรื่องไว้ลายอะไรสักอย่างหนึ่ง นั้นจะเป็นการขยายความกลัวของคุณให้มากขึ้น ดังนั้นสิ่งที่คุณคิดจะกลายเป็นการกระทำของคุณ ถ้าคุณกลัว อะไรสักอย่างหนึ่ง ลองลงมือทำ กับความกลัวอะไรสักอย่างหนึ่งอันนั้นของคุณ แล้วคุณจะค้นพบว่า ความกลัวนั้นมันหายไปแล้ว
ถ้าคุณกลัวการพูดภาษาอังกฤษ ลองเข้าคลาสการฝึกภาษาอังกฤษ
สิ่งที่ผมกำลังจะบอกคุณก็คือ
คุณสามารถเปลี่ยนความล้มเหลว ให้เป็นชัยชนะของพวกคุณเองได้ คุณสามารถเปลี่ยนเองได้ง่ายง่ายเลย โดยวิธีคิดของคุณ และสิ่งที่คุณคิด จะกลายเป็นการกระทำของคุณ แต่ถ้ามันไม่สำเร็จ มันจะกลายเป็นบทเรียนล้ำค่าที่สุดขอบคุณ ที่คุณไม่สามารถ จะ ห้าเรียนได้ที่ไหนได้นอกจากชีวิตจริง ดังนั้น ความล้มเหลว คือบทเรียนที่จะไม่ทำให้คุณ ทำแบบเดิมอีกครั้ง คุณจะกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างแน่นอน
ด้วยคำพูดง่ายๆที่ผมพูดว่า
การลงมือทำ มีผลสำเร็จ 50% และล้มเหลว 50%
จากการไม่ลงมือทำ จากไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย 100%
1นาที แห่งการให้พลังตัวเอง
หลายคนคิดว่าความฝันเป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้ สุดท้ายไม่ได้ทำ
มันไร้ประโยชน์ที่มองที่อุปสรรค แต่ไม่เห็นโอกาส
ปฏิเสธความท้าทาย จะกลับพอใจกับสิ่งเดิมๆ
ยอมรับในทุกความเชื่อ แต่ไม่เชื่อว่าตัวเองทำได้
การสร้างสรรค์ความสำเร็จ คุณต้องมีความฝัน
ผมฝันว่าผมสามารถ สร้างความฝันตัวเองได้
ผมจึงไม่ลังเล ที่จะทุ่มเทมันทั้งชีวิต
ถ้าคุณเฝ้ารอโอกาส พูดโชคชะตา ยอมแพ้ต่ออุปสรรค และจบความฝันไปเลย ผมเสียดายแทน
ความฝันคือความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง และสิ่งเดียวที่ผมไม่เคยเปลี่ยน
คือการสร้างทางเดินไปสู่ความฝัน
ผมได้ทำมันให้เป็นจริงแล้ว คุณล่ะ พร้อมก้าวเดินสู่ความฝันของคุณหรือยัง